ประเพณีลงข่วง
ฮีต 12
คลอง 14
บายศรี
ประเพณีขึ้นบ้านใหม่
ประเพณีแต่งงาน
ประเพณีสู่ขวัญข้าว
ประเพณีการซ้อนขวัญ
ประเพณีการเลี้ยงผี

แต่งงาน
ประเพณีแต่งงาน
อันดับชีวิตที่สามต่อจากการบวชมาแล้วคือ “การพาสู่กินดอง” ชีวิตขั้นนี้ภูไทถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นชีวิตที่ตนเองจะต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการ เป็นชีวิตที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อคนแม่คนดังนั้นผู้ที่จะก้าวขึ้นสู่ชีวิตขั้นนี้ จะต้องใคร่ครวญรอบครอบ
การกินดองของชายหญิงชาวภูไท เมื่อแต่งงานแล้ว มีอยู่สองแบบด้วยกันคือ แบบที่หนึ่ง ชายไปอยู่ที่บ้านขอบหญจะเรียกกัน ว่าเป็นเขยมอบสิทธิ์ ต้องอยู่กันตลอกชีวิต ทรัพย์สินมรดกฝ่ายหญิงเป็นผู้ยกให้ แบบนี้เรียกว่าอวหมงคล แบบที่สอง หญิงไปอยู่ที่บ้านของชาย แบบนี้เรียกว่า วิวาหมงคล ภูไทจะนับถือเอาแบบหลัง คือ แบบที่สอง เป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ ประเพณีพาสู่กินดอง ของภูไทนั้นมีสองวิธีด้วยกันวิธีที่หนึ่งให้ฝ่ายชายไปอยู่บ้านของหญิงก่อน จัดงานกันเลี้ยงทั้งสองฝ่าย พออยู่ด้วยกันได้สองสามปีแล้วผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะไปจัดงานกินดองรับเอาฝ่ายหญิงมาอยู่บ้านของฝ่ายชายตลอดชีวิตวิธีที่สองทำกันครั้งเดียวให้เสร็จ รับเอาฝ่ายหญิงไปอยู่บ้านของฝ่ายชายเลย การกินดองเลี้ยงครั้งนี้ฝ่ายชายต้องออกค่าอาหาร เลี้ยงแขกและญาติที่น้องทั้งหมด ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายของตน การโอม การโอมคือการไปสู่ขอหญิงสาวมาเป็นเมียของชาย การโอมนั้นทำกันแบบนี้คือจัดขันหมากธรรมดา มีหมากจีบ พลู พันใส่ขัน 1 อัน กับเงิน 3 บาท และเหล้า 1 ขวด เงินและเหล้านี้เป็นค่าจ้างพ่อแม่ของฝ่ายหญิง เรียกว่าเหล้าไขปากไขคอ โดยให้โคตรของฝ่ายชายสองคนนำขันหมากนี้ไปขอต่อพ่อแม่ฝ่ายหญิง แล้วางพ่อแม่ฝ่ายหญิง จะบอกว่าขอให้ถามลูกสาวดูก่อน เมื่อโคตรของฝ่ายชายกลับไปแล้วฝ่ายหญิงจะไปบอกทีหลังว่าจะเอาหรือไม่เอา ถ้าตกลงจะเอา เจ้าโคตรฝ่ายชายจะจัดขันหมากขึ้นอีกครั้งคราวนี้เรียกว่า “ไปหมายสาว” ขันหมากนี้เขาใช้กระหยังซึ่งเป็นของใช้ของชาวภูไทคู่กับขม่อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน รูปร่างคล้ายชะออม ในกระหยังที่เป็นขันหมากนั้นมี ข้าวสาร 1 ถ้วย พลู 1กีบ (10 ใบ) เปลือกสีเสียด 1 กีบ ไข่ไก่ใหม่ 1 ฟอง เทียนดอกไม้ 1 คู่ ใช้ผ้าขาวขนาด 1*1 ศอกห่อเครื่องของต่างๆ ไปหาฝ่ายหญิงอีกครั้ง ฝ่ายพ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็จะรับเอาขันหมากนั้นไว้ แล้วส่งกระหยัง และไข่ 1 ฟองคืนให้ฝ่ายชาย ตอนนี้ หญิงชายทั้งคู่จะเก็บตัวเงียบ ไม่ออกไปไหน โดยลำพัง เพราะโบราณ ถือว่า จะมีมารขัดขวางทำให้ต้องยกเลิกการแต่งงาน ค่าดอง ราคาค่าตัวของหญิงหรือสินสอด เรียกว่าค่าดอง เมื่อพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกันหมดแล้ว จะต้องมาดว่าราคาของหญิงเป็นน้ำเงิน การตีราคานั้นถือตามฮีต บ้านครองเมือง จารีตนั้นมีอยู่ว่า ถ้าเป็นลูกเจ้าเมือง อุปฮาดราชบุตรเมืองแสน เมืองจัน ตีราคาค่าตัว 6 ตำลึง ถ้าเป็นลูกตาสีแสงนายกรม นายกอง ตีราคาค่าตัว 3 ตำลึง ถ้าเป็นลูกคนธรรมดาสามัญ ตีราคาค่าตัว 6 บาท คือต้นตระกูล เอาเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น การมาดค่าตีราคาของหญิงนั้น เจ้าโคตรฝ่ายชายมักจะร้องขอต่อรอง ถ้าตกลงกันเท่าไหร่แล้ว จะต้องนำเงินนั้นมาให้แต่หญิงในวันแต่งงาน เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างตกลงเป็นที่เข้าใจกันแล้ว ก็หาฤกษ์หาวันดีทำพิธีแต่งงานเลย ก่อนถึงวันแต่งงานนี้ ของสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั้นก็คือ เครื่องสมมา สิ่งของที่เป็นเครื่องสมมาได้แก่ เสื่อ หมอน เสื้อ ผ้า ซิ่น ผ้าห่ม ซึ่งฝ่ายหญิงจัดทำเพื่อนำเอาไปสมมาคุณเจ้าโคตรฝ่ายชาย ของเหล่านี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงจะต้องเตรียมไว้ก่อนวันงาน เมื่อแต่งเสร็จแล้วจึงต้องนำสิ่งของเหล่านี้ไปสมมาแก่เจ้าโคตรฝ่ายชาย ก่อนวันงานหนึ่งวันนี้ทั้งสองฝ่ายจะใช้ให้คนซึ่งเป็นญาติใกล้ชิด ของตนออกตระเวนบอกแก่ญาติมิตรและเพื่อนบ้านทุกหลังคาเรือน ทั้งในหมู่บ้านของตนและหมู่บ้านใกล้เคียง การบอกเล่านั้นมีสองกรณีด้วยกัน ดังที่ได้กล่าวแล้วในข้างต้น คือถ้าพาสู่ธรรมดา เขาจะบอกว่า “อนุญาตเด้อหาพาสู่คนนั้นคนนี้” ถ้ากินดองให้เสร็จที่เดียวเลยเขาก็จะบอกว่า “อนุญาตเด้อหาพาสู่กินดองคนนั้นคนนี้ เอาเมอเฮือนพร้อม”สิ่งที่ฝ่ายชายจะต้องเตรียมนั้น ถ้าเป็นแบบวิธีพาสู่นั้นฝ่ายชายจะต้องเตรียมสิ่งของไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง มีควาย 1 ตัว ข้าวปลูกให้พอกินที่มาของหญิง ถ้ามากก็เอาไปมาก ขวาน 1 เล่ม มีด 1 เล่ม แห 1 ผืน มอง 1 ผืน ถ้าเป็นแบบพาสู่กันดองก็ต้องเตรียมอาหาร เพื่อนำไปเลี้ยงแขกและญาติ มิตรฝ่ายหญิง เช่นซื้อ วัวให้หนึ่งตัว หรืออาจจะซื้อหมูก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกัน ในวันนั้นคนของฝ่ายชายจะต้องเป็นผู้จัดหาเครื่องทำครัวให้พร้อมเสร็จด้วย แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วล่าม ประเพณี การแต่งงานของชาวภูไทนั้น บุคคลคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้นั้น คือ ล่าม ล่ามมีหน้าที่ ในวันแต่งงานนั้น เป็นผู้นำหน้าถือขันหมาก เป็นผู้มอบกระหยังขันหมาก และกล่าวคำมอบเขยแก่เจ้าโคตรของฝ่ายหญิง หลังจากงานแต่งเสร็จ ก็มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อผัวเมียระหอกระแหงกัน หน้าที่นี้รับเจรจาตลอด หรือ ผัวเมียจะอย่าขาดกัน คุณสมบัติของ ผู้ที่จะเป็นล่ามจะต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ คือ ไม่เคยเป็นม่ายหรืออย่าร้างมาก่อน ฐานะปัจจุบันจะต้องเป็นคนพร้อมลูกเมีย และเป็นคนดี เป็นคนพูดจา ฉะฉานคนเชื่อถือ วันทำพิธีพาสู่กินดอง การพาสู่กินดองเป็นพิธีที่จัดใหญ่ตามฐานะ ทำให้เสร็จในวันเดียว ณ ที่บ้านของทั้งสองฝ่าย เตรียมการต้อนรับญาติพี่น้องที่มาช่วยเหลือ มีอาหารการกินอย่างอุดมสมบูรณ์ จัดเตรียมพาขวัญออกมาตั้งไว้เมื่อญาติพี่น้องมาพร้อมกันแล้วจึงทำการสู่ขวัญ พิธีสู่ขวัญน้อย เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้วต่างฝ่ายต่างทำการสู่ขวัญที่บ้านของตนเอง พอสู่ขวัญเสร็จก็ทำการผูกข้อต่อแขนกัน ฝ่ายชายแห่ขันหมากมาบ้านฝ่ายหญิง พิธีแห่ขันหมากเครื่องขันหมากมีสามขัน ขันหนึ่งใส่พลู 4 แหลบ และเงินค่าตอง ขันที่สองใส่เครื่องบูด ของเน่ามี ไก่ต้มทั้งตัว จำนวน 4 ตัว เหล้า 4 ขวด เรียกว่าไก่เฆี้ยน 2 ตัวไก่ย้ายตีน 2 ตัว ถ้วย 1 ใบ เหล้าก็เหมือนกัน และอีกขันหมากหนึ่งเรียกว่า “ หับไข่ไก่กลม” จำนวน 8 หับ 4หับแรก บรรจุไข่ใหม่หับละ 4 ฟอง อีกสี่หับบรรจุดอกไม้ธูปเทียน และหมากบุหรี่ หับนี้มีรูปร่างคล้ายเข่งเล็กใหญ่พอบรรจุไข่ได้ 4 ฟองเต็มพอดีสานด้วยไม่ไผ่ พอได้ฤกษ์งามยามดี ก็เริ่มแห่จากบ้านฝ่ายชายไปยังบ้านฝ่ายหญิงโดยล่ามจะเป็นผู้ที่เดินทางไปบ้านฝ่ายหญิงก่อนพร้อมญาติฝ่ายชาย โดยจะไปมอบสินสอดทองมั่นต่างๆตามที่ตกลงกันล่ามก็จะกล่าวว่า“ความเส้นไหว้สา โคตรตาพาเข้า คือเดี๋ยวนี้นั้นกะได้ฤกษ์งามยามดีแล้วตูข้อยได้นำเอาสิ่งของอันเป็นมงคลมามอบเฮ้ออยู๋เต้อนี้ครบ มีฮีตครอง 2 ประการ ค่าปองแปงแข้งน้ำนมอีออมต้อมน้อย เหล้าไหไก่คู่ สัตว์เป็นหัวตัวเป็นเลือด ผักหมี่สี่แจ แหลุทอง มองลุหลอด หอกดาบแข้งผี มีทั้งกุคู่ 5 ของพระยาทั้ง 4 ถวายแก่พระพ่อเจ้ายอให้หม่อมพระนาง ขอมอบเฮ้อแก่โคตรแก่ตา ขอเฮ้อเฆี้ยนเส่อค่าว่าเส่อหัวเบิ่งดู”

* หมายความว่า ตอนนี้ได้ฤกษ์งามยามดีแล้วผมได้นำสิ่งของที่เป็นมงคลมามอบให้ อันได้แก่ ค่าเลี้ยงดู สุรา ไก่ สัตว์ที่มีหัวมีเลือด พืชผักต่างๆ แห อวน หอกดาบ ขอมอบให้กับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ของให้ว่ากล่าวมาด้วย

ต่อมาโคตรฝ่ายหญิงจะตำหนิหลานสาวโดยกล่าวว่า

“ ความเส้นหนึ่งไว้สา คือสูเจ้ามาเยอะได้ลุหญิงหลานสาวตูข้อย ข้อยกะมิเว้าเผอหละแต่หวะหญิงหลานสาวตูข้อยกะมิขุดมิได้ขังไว้ แต่ลุหญิงหลานตูขอยกะได้เลี้ยงมาพาใหญ่เมิดแสนโหปลากับขาไก่ จังได้เป็นสาวยาวเป็นเถ้า สูเจ้าจังได้แต่งคนมาปากเว้าจาขอนำตูข้อย ตูข้อยกะมิขัดมิขืนผิเหลอหละ แต่หวะลุหญิงหลานสาวตูข้อยมันมิช่างแท้ได้ คันเฮาเฮ้อเข็ญฝ้ายแหน่อี่หล้า มิข้อยมิทันได้ลุ ต่ำหุแหน่อี่นางมีข้อยมิทันได้ผัว คันเฮ้อต่ำหุผ้าคือฝาตาดไซ เฮ้อต่ำหุไหมคือฝาตาดต้อน เซ้อเฮ้อเลี้ยงหม้อนมิฮู้จักตัวลุกตัวนอน เอ้อ ลุหญิงหลานสาวตูข้อยโพดมันมิเป็นแท้ได้ คันเฮาเซ้อเฮ้อไปตักน้ำกะผัดเอ็ดน้ำเต้าไหล เฮ้อดังไฟกะผัดเอ็ดไฟมอด เฮ้อปั่นหลอดกะผัดเอ็ดหลอดมาย เฮ้อจุงควายหางเอาะก่อน เอ้อคันสูเจ้าหละติหละฮิกะหย่าเสียแต่มื้อทุ่งยังกว้าง ฮ้างเสียแต่มื้อทางมันยังไกล อย่าเดียวเสียเด้อไก้คู้นี้หละ ”

*หมายความว่า

เสร็จโคตรฝ่ายหญิงจะถามฝ่ายชายว่า

“ ความเส้นหนึ่งไว้สา กวานเจ้าล่ามเจ้าพุเป็นล่ามดวงดีหวีดวงเกรี้ยง สูเจ้าได้เฮ้ามารับรองฮีตสิบสองครองสิบสี่นำตูข้อย เอ้อ คือเดี๋ยวนี้น่ะ เหล็กกล้าเขาจังเอาไปเอ็ดเหล็กซี คนดีเขาจังเอาไปเอ็ดคนใช้ แต่หวะตูข้อยนี้ยังได้ข้อข้องใจไอ้หนึ่งอยู่ คือ ชู้เก่าคราวหลังเจ้านั้นตัดเกี้ยงๆสีนเพียงๆ อ่อยห่อยแล้วเบ็าะ มันมิได้เป็นฮูดเต้อเลา เป็นเปาเต้อข้างเบ๊าะ คันยังเป็นฮูดเต้อเลาเป็นเปาเต้อข้างอยู๋กะติ เฮ้อสับธะปะเลิกกันเสียก่อน เฮ้อมันเกี้ยงคือเปอะเกาะเลาะคือเปอะเปลือยซะก่อน จังมาแต่งมาแปลงเดียวเบ่อ “

*หมายความว่า เรามีข้อข้องใจ อยู่ว่า คนรักเก่า นั้นบอกเลิก หรือตัดขาดกันหรือยังถ้ายังก็ขอให้ไป ทำการเลิกลาซะ แล้วค่อยมาขอแต่งใหม่เสร็จล่ามจะกล่าวคำเฆี้ยนเขย

ความเส้นหนึ่งไหว้สา กวานเจ้าล่ามเจ้าพุเป็นล่ามดวงดีหวีดวงเกี้ยง สูเจ้าได้เฮ้าได้มารับรองฮีตสิบสองคลองสิบสี่ฮีตครองเกงนำตูข้อย คือ ฮีตนี้มิแม่นหวะตูข้อยตั้งเอามื้อนี้มื้อวาน ตั้งมาแต่แผ่นดินท่อฮอยไก้ต้นไม้ท่อลำเทียนฮีตนี้ได้สืบมาแต่ปู่ทวดยาสังปู่ปู่สังกะสาย่าสังกะสี ภูไทเฮาเห็นดีจังได้พาเดียวสืบเอาไว้ เอ้อคันสูเจ้าหละเฮ้ามาเป็นตับหลับตาเฮ้ามาเป็นแป้ เป็นเขย ตูข้อยกะหละได้เฆี้ยนเส่อด่าว่าเส่อหัวหละได้ฮะนิ คือ คันสูเจ้าเป็นช้างตูข้อยกะหละหย่ำหัว สูเจ้าเป็นขัวตูข้อยกะหละได้ไต่ คันตูข้อยเซ้อเฮ้อลงล่างกะมิเฮ้อไกล เซ้อเฮ้อไปไทยกะมิเฮ้อเว้าหวะไปมิฮอด เซ้อเฮ้อไปไฮ่กะมีเฮ้อกะไหลไปนา เซ้อเฮ้อไปนากะมิเฮ้อกะหลาเบอบ้านคันขี้คร้านผัดเฮ้อนอนอยู่เฮือน คันไปดงกะมิเฮ้อมาเป่า ไปเหล่ากะมิเฮ้อมาดาย คันมิได้ไม้เป็นกะเฮ้อได้ไม่ตายพอได้มาแก้งก้นหม้อ เอ้อนอนหว้ำกะเฮ้อเบิ่งเซอะควาย นอนหงายกะเฮ้อเบิ่งเซ่อช้าง คันเชื้อโคตรแนวตาใหญ่ท่อก้อยน้อยท่อกูกะมิเฮ้อฮ้องว่ากูว่ามึง คันพอฮ้องว่าลุงว่าป้า กะเฮ้อฮ้องว่าลุงว่าป้าคันพอฮ้องวะพ่อเฒ่าแม่ตา กะเฮ้อฮ้องวะพ่อเฒ่าแม่ตา

* หมายความว่าล่าม พวกท่านได้มาปฏิบัติตามประเพณีของเราแล้ว ประเพณีนี้เราไม่ได้ตั้งขึ้นเอง แต่เป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่บรรพบุรุษ พวกเราเห็นดีด้วยเลยประพฤติฏิบัติตาม ถ้าจะมาเป็นเขย พวกเราก็จะได้ว่ากล่าวตักเตือน ถ้าท่านเป็นช้างเราก็จะได้ขี่ ถ้าท่านเป็นสะพานเราก็จะเดินข้าม ถ้าพวกเราให้ลงไปข้างล่างก็ไม้ให้อ้างว่าไกล ถ้าใช้ให้ไปเมืองก็ไม่ให้อ้างว่าไปไม่ถึง ใช้ให้ไปทำไร่ก็ไม่ให้เถลไถลไปทุ่งนา ใช้ให้ไปทำนาก็ไม่ให้กลับบ้านมือเปล่า ถ้าไปป่าไปดงก็อย่ากลับมามือเปล่า ยังไงก็ต้องหาไม้มาทำฟืนบ้าง ถ้าเจอญาติผู้ถึงแม้ว่ารูปร่างจะเล็ก หรือเกิดที่หลังแต่ด้วยศักดิ์แล้วเขามีศิกดิ์สูงกว่า ก็ให้เรียกตามศักดิ์ ไม่ว่ากูว่ามึง

ความเส้นหนึ่งไหว้สา เสิ๊กทีอยากไม้กะสะหนามสน ไม้บกฟันหยาบไม้บากฟันอ่อน ไม่ถ่อนหันเหนียวไม้เงียวฟันแข็งคันนาฮกเฮ้อลุเขยถาง คันนาบางเฮ้อลุเขยอืบ คันมีได้แนวนี้ตูข้อยกะหละเบอว่าแนวเลอขวานเจ้าล่ามหละรับรองได้บ่อ ความเส้นหนึ่งไว้สา ดำน้ำกะมีเฮ้อเอ็ดก้นฟูเฮ้อจกฮูกะมีเฮ้อเอ็ดแหนสั้น คันสุดแหนกะเฮ้อเอาไม้ต่อ คัดสุดข้อกะเฮ้อเอาไม้ตาม กินซี้นกะมิเฮ้อเหน็บจำวา กินปลากะมิเฮ้อเหน็บจำค้อ กินหนูกะเฮ้อกินแต่ใส้ กินไก้กะเฮ้อกินแต่ตีนว่าแนวเลอขวานเจ้าล่ามหล่ะรับรองได้บ่อ กันมีได้แนวตูข้อยกะหล่ะเบอ

* หมายความว่า ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ขยันทำงาน ล่ามจะรับรองได้ไหม การทำมาหากินต้องทำให้เต็มที ทำเต็มความสามรถ

ความเส้นหนึ่งไว้สา คือ สู่มื้อนี้คนเฮามันตายง่ายกินข้าวคำเดียวกะสะหมัก กินผักคำเดียวกะเบ่อไข้หละเท้อกะตาย คันสูเจ้าหล่ะเฮ้อตูข้อยรับรองตูข้อยมิรับรอง ตูข้อยหล่ะรับรองเอาแต่โทษที่มาตกเส่อสาดหยาดเส่อบ่อนนอน เอ้อ คันตูข้อยเซ้อเฮ้อไปค้าไปขายคันหวะมันหลุ๊บมันจนมาตูข้อยหละรับรองอยู่ แต่หวะคันไปสูบฝิ่นกินชา เสพสุรายาเมา ลิ้นไพ่ ไฮโล ลิ้นเบี้ยแทงโป ไปลิ้นน้องน้ากำพร้าน้องเมีย อันนี้ตูข้อยหละได้เบอซ้ำถอดนางว่าแนวเลอขวานเจ้าล่ามหล่ะรับรองได้บ่อ

* หมายความว่า ทุกวันนี้คนเรามันตายง่ายทานข้านยังสำรัก กินผักคำเดียวยังไข้ได้ ถ้าจะให้รับรองการเจ็บป่วย พวกเราไม่รับรอง ถ้าพวกเราใช้ให้ไปค้าขายแล้วขาดทุน พวกเราถึงจะรับรอง แต่ถ้าไปเสพสิ่งเสพติด เล่นการพนัน หรือไปมีเมียน้อย นอกใจภรรยา ถ้าทำเช่นนี้เราขอ เจ้าสาวคืน ล่ามจะรับรองได้ไหม

พอเฆี้ยนเขยเสร็จล่ามก็จะกลับมาหาฝ่ายชาย แล้วก็พาเจ้าบ่าวแห่ขันหมากไปบ้านฝ่ายหญิง โดยมีล่ามสพายกระหยังถือขันหมากนำหน้า ถัดมาเป็นพาขวัญ โดยให้หญิงบริสุทธิ์ถือ ต่อมาเป็นเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว แล้วก็ตามด้วยขบวนแห่พร้อมญาติมิตรซึ่งแล้วแต่ใครจะฟ้อนจะรำตามสบาย พอมาถึงกระไดบ้านของฝ่ายหญิงก็จะมีคนของฝ่ายหญิงมารากกระไดหรือดึงกระไดขึ้น หรือขวางไว้ คือทำทีจะไม่ยอมให้เจ้าบ่าวขึ้นบ้าน ทางเจ้าบ่าวจะต้องหาคนมารำขอกระได ถ้าหาไม่ได้จะต้องจ้างด้วยเหล้า กลอนรำขอกระไดมีอยู่ว่า “ .โอยหน้ออ้ายนี้หมายมามั่น ละขันตายตางอุ่นเด้.. ละน้อง บุญหัวเฮียมมันหากมาตกนี้จำหนีทะขออยู่ แม่นแผ่นดินท่อหมากบ้า แผ่นฟ้าท่อหมากเบี้ยละขอเมี้ยนกระดูดดอม ขันตายฮ่วมป่าช้า ขันท่าฮ่วมบ่อนนอน โอหน้ออ้ายนี้หมายมาซ้อนนอนเฮือนฝากไม้ไผ่กะตามแล้วคันแม่นบุญคาดได้จังนอนแป้นแผ่นกระดาน โอเด้ เจ้าเฮือนซาวกว้างปราสาทมุงมณี ทางเถิงมุงในสีหน่อยกระดิงดังก้องยามเมื่อลมมาต้องติติ่ง กระดิงทองหน่อยน้อยแขนห้อยอยู่เกยนั้นแล้วเขยได้มาถึงแล้วแววมณีนี เนื้อละไมกระไดเงินแม่แก่ไว้ กระไดคำพ่อแก่ไว้ กระไดไม่ให้ป่อนลง”

พอฝ่ายหญิงยอมให้ขึ้นบ้านก็จะมีญาติฝ่ายหญิงหนึ่งคน เอาน้ำหอมมาล้างเท้าให้เจ้าบ่าว พอล้างเสร็จแล้วเจาบ่าวต้องจ่ายเงินให้ผู้ที่ล้างเท้าให้เล็กน้อยแล้วแต่จะเห็นสมควร พอขึ้นไปถึงบนบ้านแล้ว ล่ามก็จะจูงเอาเจ้าบ่าวไปเข้าพาขวัญ พอเข้าไปถึงเจ้าบ่าวจะเป็นผู้นั่งคอย โดยเจ้าสาวอยู่ในห้องนอน ล่ามจะเป็นผู้เรียกเอาเจ้าสาว 3 ครั้งโดยกระแทกตีนลงพื้นแรงๆ พร้อมกับเสียงเรียกดัง ๆ ว่าเอาเภ้อเอานางกูมา ๆ อย่างนี้เสร็จแล้วล่ามก็ถือขันหมากเข้าไปมอบให้แกพ่อแม่และเจ้าโคตรของฝ่ายหญิงที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว โดยพูดดังให้ได้ยินกันหลายๆ คน เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมหน้าก็ทำการสูตรขวัญโดนหมอสูตรจะเป็นฝ่ายสูตร พอสูตรเสร็จก็เอาไข่ขวัญมาปลอกใช้เส้นผมแบ่งไข่ออกสองส่วนเท่าๆกันแล้วตรวจดูว่ไข่เต็มหรือไม่ ถ้าเต็มก็หมายความว่าคู่บ่าวสาวคู่นั้นจะอยู่กันด้วยดีมีความสุขสมบูรณ์ตลอด แล้วก็ทำการป้อนไข่ โดยผู้ที่ป้อน คือ ล่าม มือขวาป้อนเจ้าบ่าว มือซ้ายป้อนเจ้าสาว เสร็จก็จะมีการผูกข้อต่อแขนเจ้าบ่าวเจ้าสาว ต่อมาเจ้าบ่าวก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปสมมาพ่อแม่โคตรวงศ์ของฝ่ายหญิง เสร็จเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะมานั่งรับพรจากโคตรฝ่ายหญิง เมื่อให้พรเสร็จก็จะกล่าวบทเส่อกันหันส้น โดยกล่าวว่า

“ ความเส้นหนึ่งไว้สา เอ้อ คันว่าลุหญิงหลานสาวตูข้อยนี้มันไปมิช่างย่างมิงามทิ้มบุงกายหน้า ทิ้มช้ากายตา เฮ้าสวนผัก ลัดสวนแตง นุ่งซิ่นผืนกว้าง เส่อต่างหู โหลงกะดี้ อย่าฟ้าวขายเฮ้อข่า ค้าเฮ้อแกวหลายเด้อ เฮ้อโคตรคึดนั่งตากแดดฝิงไฟเว้าเดียวเสียก่อน เอ้อ คันว่าคาวพอฮางตูข้อยกะหล่ะฮาง คันหวะนางพอต้านตูข้อยกะหละต้าน คันสูเจ้าเอาลุหมูลุหมามากะเฮ้อส่งเส่อมุ้ง คันสูเจ้าเอาลุฮู้งลุกามากะเฮ้อส่งฮอดภูฮอดผา คันสูเจ้าเอาลุหญิงหลานตาตูมากะเฮ้อส่งฮอดเฮือนฮอดสาน อย่าเฮ้อเห้ฮอยควายหยายฮอยช้างด้าย ขวานเจาล่ามว่าแนวเลอ หล่ะรับรองได้บ่อ “

* หมายความว่า ถ้าหากแม้ว่าหลานสาวพวกเรามันไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรร เดินเหินดูไม่สวยงาม ทำสวนผักไม่เป็นสวนผัก นุ่งผ้าถุงผืนใหญ่ ใส่ตุ้มหูขนาดใหญ่ อย่าพึ่งขายให้ ข่า หรือ แกว ให้ญาติผู้ใหญ่นั้งจับเข่าคุยกันก่อน ถ้าถึงเวลาต้องหย้าร้างเราก็จะหย้า ถ้าพอจะช่วยเจ้าสาวยังไงเราพร้อมจะช่วย ถ้าพวกท่านนำเอาลูกหมูลูกสนัขมาท่านต้องส่งให้ถึงที่ ถ้านำลูกกามาต้องส่งให้ถึงรัง ถ้าพวกท่านพาหลานพวกเรามาก็ต้องส่งให้ถึงบ้านถึงเรือน อย่าให้หายกลางทาง ล่ามจะว่ายังไงจะรับรองได้ไหม

แล้วฝ่ายชายก็กลับบ้านพร้อมกับฝ่ายหญิงโดยฝ่ายหญิงจะเตรียมข้าวของที่จะสมมาโคตรฝ่ายชาย พอมาถึงบ้านฝ่ายชายทำการสมมาโคตรฝ่ายชายสมมาเสร็จก็เป็นอันเสร็จ