**********************************************
 
ประวัติและประเพณีภูไท
เมื่อราว พ.ศ. 400 ไทยได้เริ่มอพยพลงมาจากแดนจีนภาคใต้ คือ มณฑลฮุนหนำ กุยจิ๋ว กวางตุ้ง กวางไส ในปัจจุบันนี้ เมื่ออพยพลงมานั้นได้แยกออกไปตั้งภูมิลำเนาเป็นสองพวกด้วยกันคือ พวกหนึ่ง สันนิษฐานว่า เป็นส่วนมากกว่าและได้ลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงได้ ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบลุ่มแม่น้ำคง (สาละวิน) เรียกกันว่าไทยใหญ่ (เงี้ยว) ตั้งตัวเป็นอิสระได้เมื่อราว พ.ศ. 800 มีราชธานีอยู่ที่เมือง พง มีอาณาเขตกว้างขวาง อีกพวกหนึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพวกน้อยกว่า ยกลงมาทางใต้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบลุ่มแม่น้ำของ (โขง) ตั้งตัวเป็นอิสระ ยกดินแดนอันเรียกกันบัดนี้ว่า "สิบสองจุไทย" ขึ้นเป็นประเทศเอกราชได้เมื่อราว พ.ศ. 500-600 มีเมืองแถง เป็นราชธานี อนึ่งพวกไทยใหญ่จึงตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กันรวมทั้งหมด 19 เมืองด้วยกัน แล้ว ตังตนเองเป็นเจ้าแผ่นดินมีอาณาจักรของตนเองโดยเฉพาะเรียกกันมาว่า สิบเก้าเจ้าฟ้าหรือสิบเก้ามงกุฎ" และพวกไทยน้อยในประเทศสิบสองจะไทยเล่าภายหลัง เมื่อเมืองแถงราชธานี เสื่อมอำนาจลงผู้ครองนครต่าง ๆ ก็ตั้งแขวงเมืองเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กันยกตนเป็นเจ้าเช่นเดียวกันรวมทั้งหมด 12 องค์ อาศัยที่มีเจ้าถึง 12 องค์จึงเรียกดิน แดนนี้ว่า "สิบสองจุไทย" คือ 12 เจ้าไทยภายหลังเรียกกันว่า 12 ภูไทก็มี
ครั้งหนึ่งราว พ.ศ. 1274 ลงมามีเจ้าไทยองค์หนึ่งพระนามว่า ขุนบรมมีอานุภาพมากลงมาจากอาณาจักรน่านหรือหนองแสในดินแดนจีน บัดนี้ มารวบรวมเมืองทั้ง 12 นั้นได้ในอาณาจักรเดียวกันขึ้นต่อเมืองแถงราชธานี ต่อมาได้ทรงส่งพระราชโอรสไปสร้างเมืองในที่ต่าง ๆ กล่าวกันว่าเมืองในลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่ง คือประเทศไทยเกือบทั้งหมดและเมืองในแคว้นหลวงพระบาง เวียงจันทน์ ตลอดถึงหัวพันทั้งห้าทั้งหกบัดนี้ ก็ขยาย ออกจากถิ่นสิบสิงจุไทยทั้งนั้นแต่จะขยายออกคราวไหนเมื่อไรเอาแน่ไม่ได้ เมื่อห่างกันนานเข้าเสียงพูดก็จึงได้ผิดเพี้ยนกันบ้าง ทั้งสำเนียงและประเพณีและตัวหนังสือ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเค้าเป็นอย่างเดียวกัน